People naturally want to feel respected and valued, which forms the basis for their self-esteem. Pride is a common feeling that makes individuals want to show off their accomplishments and contributions in life. Not surprisingly, the Bible contains numerous references to the word “pride”. Often, we ignore such references, discarding their meaning as something not applicable to us. However, let's take a closer look at it.
ถ้าเจ้าเป็นคนโง่ยกย่องตนเอง หรือคิดแผนการชั่วร้าย จงเอามือปิดปากของเจ้าเสียเถิด( สุภาษิต 30:32 )
เพราะพระองค์ทรงให้ชาวเมืองที่สูงส่งนั้น คือเมืองที่สูงส่งนั้นต่ำลง พระองค์ทรงให้มันต่ำลง พระองค์ทรงให้มันต่ำลง ต่ำลงถึงดิน พระองค์ทรงให้มันลงที่ผงคลี( หนังสืออิสยาห์ 26:5 )
เพื่อว่าพระองค์จะได้หันให้มนุษย์กลับจากเป้าหมายของเขา และตัดความเย่อหยิ่งออกเสียจากมนุษย์( โยบ 33:17 )
In our daily lives, we distinguish between two types of pride: a negative one, expressed in phrases like “this person was too proud to help,” and a positive one, conveyed in phrases like “Good job, I’m so proud of you!” The latter expression is pervasive in family life, where parents seek to motivate their children to persevere, progress, and develop into respected individuals. Regardless of whether we express praise or condemnation, both types of pride share a common foundation. Let's take a look at the most common definitions of pride:
- A feeling of deep pleasure or satisfaction derived from one's own achievements, the achievements of those with whom one is closely associated, or from qualities or possessions that are widely admired
- Consciousness of one's own dignity.
Both definitions above share a common foundation around self-centric qualities. "Pride" reflects self-abilities or self-accomplishments as opposed to reliance on others' help.
เพราะความทะนงตัวเท่านั้นการวิวาทจึงเกิดขึ้น แต่ปัญญาอยู่กับบรรดาผู้ที่รับคำแนะนำ( สุภาษิต 13:10 )
As we can see, that self-centered pride is heavily condemned in the Bible repeatedly. Here are just a few examples:
เขาร้องทุกข์ ณ ที่นั่น แต่ไม่มีผู้ใดตอบเขา เหตุความเย่อหยิ่งของคนชั่ว( โยบ 35:12 )
พระองค์ทรงช่วยประชาชนที่ลำบากให้รอดพ้น แต่พระองค์ทอดพระเนตรผู้ที่ยโสเพื่อนำเขาให้ต่ำลง( 2 ซามูเอล 22:28 )
ถึงแม้พระเยโฮวาห์นั้นสูงยิ่ง พระองค์ก็ทรงเห็นแก่คนต่ำต้อย แต่พระองค์ทรงทราบคนโอหังได้แต่ไกล( เพลงสดุดี 138:6 )
Before we can make any conclusion, let's take a look at the Bible story of Babylonian king Nebuchadnezzar, who became proud of the results of the work he did.
และกษัตริย์ตรัสว่า "นี่เป็นมหาบาบิโลนมิใช่หรือ ซึ่งเราได้สร้างไว้เพื่อวงศ์วานแห่งอาณาจักรนี้ด้วยอำนาจใหญ่ยิ่งของเรา และเพื่อเป็นศักดิ์ศรีอันสูงส่งของเรา"( ดาเนียล 4:30 )
While most of us aren't kings, and our achievements may not be grandiose, we often say or think, "I built this house with my own hands," or "I created such a great company," or "I won this game over someone else," taking pride in our efforts. Isn't it fair to feel proud when we've invested so much effort into something crucial for us, be it securing a good job, fostering a strong family, or winning a race?
The author of the renowned biblical wisdom book, "Ecclesiastes," recognized that personal qualities and skills don't solely determine life events' outcomes.
ข้าพเจ้าได้เห็นภายใต้ดวงอาทิตย์อีกว่า คนเร็วไม่ชนะในการวิ่งแข่งเสมอไป หรือฝ่ายมีกำลังไม่ชนะสงครามเสมอไป หรือคนฉลาดไม่รับประทานเสมอไป หรือคนมีความเข้าใจไม่ร่ำรวยเสมอไป หรือผู้ที่เชี่ยวชาญไม่ได้รับความโปรดปรานเสมอไป แต่วารและโอกาสมีมาถึงเขาทุกคน( หนังสือปัญญาจารย์ 9:11 )
It appears that success isn't guaranteed for those who invest significant effort in work, training, or practice. If we fast forward into New Testament times, Jesus asserts that nothing escapes God's attention, regardless of the event's perceived importance or insignificance:
นกกระจอกสองตัวเขาขายบาทหนึ่งมิใช่หรือ แต่ถ้าพระบิดาของท่านไม่ทรงเห็นชอบ นกนั้นแม้สักตัวเดียวจะตกลงถึงดินก็ไม่ได้( มัทธิว 10:29 )
Let's return to Nebuchadnezzar and examine what transpired after he voiced his prideful words about his accomplishments:
เมื่อกษัตริย์ตรัสยังไม่ทันขาดพระวาทะ ก็มีเสียงตกลงมาจากฟ้าสวรรค์ว่า "โอ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เราลั่นวาจาไว้กับเจ้าแล้วว่า ราชอาณาจักรได้พรากไปเสียจากเจ้าแล้ว และเจ้าจะถูกขับไล่ไปจากท่ามกลางมนุษย์ และเจ้าจะอยู่กับสัตว์ในทุ่งนา และเจ้าจะต้องกินหญ้าอย่างกับวัว จะเป็นอยู่อย่างนั้นจนครบเจ็ดวาระ จนกว่าเจ้าจะเรียนรู้ได้ว่า ผู้สูงสุดปกครองอยู่เหนือราชอาณาจักรของมนุษย์ และประทานราชอาณาจักรนั้นแก่ผู้ที่พระองค์ทรงปรารถนา"( ดาเนียล 4:31-32 )
In an instant, King Nebuchadnezzar lost everything he had taken pride in, facing challenging times, just as foretold. The king lost his throne, pride, and dignity, a necessary experience for understanding and learning the lesson. After a while, Nebuchadnezzar came to realize who was truly behind all his achievements:
เมื่อสิ้นสุดวาระนั้นแล้ว ตัวเราเนบูคัดเนสซาร์ก็แหงนหน้าดูฟ้าสวรรค์และจิตปกติของเราคืนมา และเราก็สาธุการแด่ผู้สูงสุดนั้น และสรรเสริญถวายเกียรติยศแด่พระองค์ผู้ดำรงอยู่เป็นนิตย์ เพราะราชอาณาจักรของพระองค์เป็นราชอาณาจักรนิรันดร์ และอาณาจักรของพระองค์ดำรงอยู่ทุกชั่วอายุ บัดนี้ตัวเราคือเนบูคัดเนสซาร์ ขอสรรเสริญ ยกย่องและถวายพระเกียรติแด่พระมหากษัตริย์แห่งสวรรค์ เพราะว่าพระราชกิจของพระองค์ก็ถูกต้อง และพระมรรคาของพระองค์ก็เที่ยงธรรม บรรดาผู้ดำเนินอยู่ในความเย่อหยิ่ง พระองค์ก็ทรงสามารถให้ต่ำลง( ดาเนียล 4:34-35,37 )
In the end, Nebuchadnezzar learned a valuable lesson about pride. Can we, too, learn this lesson the easier way, by reflecting on Nebuchadnezzar's story?
Does that story imply that our achievements aren't genuinely ours? What can we accomplish entirely on our own? A verse from the Gospel of John, quoting Jesus, provides the answer below. Notice that Jesus repeats the same words, subtly rephrasing them to underscore their significance.
จงเข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน กิ่งจะออกผลเองไม่ได้นอกจากจะติดอยู่กับเถาฉันใด ท่านทั้งหลายจะเกิดผลไม่ได้นอกจากท่านจะเข้าสนิทอยู่ในเราฉันนั้น( ยอห์น 15:4 )
เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นกิ่ง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นจะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย( ยอห์น 15:5 )
It is God who empowers us, enabling us to succeed in games or secure good jobs. God is the source of creative ideas when tackling complex problems and provides strength to persevere and complete what we've started. Recognizing these aspects reveals the true nature of God and His role in our lives, bringing us closer to Him.
จงวางใจในพระเยโฮวาห์ด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความเข้าใจของตนเอง จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น( สุภาษิต 3:5-6 )
อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ( ฟีลิปปี 4:6 )
เหตุฉะนั้นเมื่อท่านจะรับประทาน จะดื่ม หรือจะทำอะไรก็ตาม จงกระทำเพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า( 1 โครินธ์ 10:31 )
Let's acknowledge our limitations and find comfort in understanding that relying on Jesus brings peace of mind, supporting us through challenges and guiding us in managing feelings of pride and dignity.